[EXPIV]-Sub event (Thanks-Giving RoyalNavy) : Pirate Ideology

.

logosmEntry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Community PIRATE-IV

logo1
Sub-Event : Thanks-Giving RoyalNavy

.

Rating : PG
Word count : ประมาณ 3,297 คำ
Characters : เอไลจาห์ ฟลอเรนติน เลอรอย, อาร์เธน รีกัส โรซาเลส, คริสเตน คาร์โล, ไวแอต
Author’s Note : ขอบคุณทหารทุกท่านที่มาโรลกัน แม้จะจบไม่ค่อยสวยสักรูทเลย แต่ก็ที่เขียนออกมานี่ก็รู้สึกว่าได้ข้อสรุปที่ดีออกมาบ้างล่ะนะ OTZ /มั้ง /กราบ

.

.

.

Pirate Ideology

.

.

Eliyah Florentin Leroy

.

ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยนั่งลงข้างกันแล้วเริ่มต้นบทสนทนา ตั้งแต่เรื่องรสชาติของขนมปังและแฮมที่ผลิตในเชวาเรีย ไปจนถึงอุดมการณ์ซึ่งเป็นสิ่งนำทางชีวิต

อันที่จริงแล้วควรจะพูดว่านั่นเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ลูก้ามีต่อเลอรอยเพียงฝ่ายเดียว สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เขาเห็นทั้งทางการกระทำและคำพูด มันกระตุ้นความสนใจของเขาได้เหมือนดั่งแมลงกลางคืนที่พุ่งเข้าหาแสงสว่าง ไม่ว่าอุดมการณ์ที่เด็กหนุ่มมีอยู่นี้จะเริ่มหยั่งรากและแผ่กิ่งก้านขึ้นมาจากสิ่งใด แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าทหารตัวเล็ก ๆ คนนี้ช่างกล้าหาญที่ตัดสินใจสร้างอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินตัว แล้วปล่อยไว้ให้มันเติบโตขึ้นในหัวใจของตนเองเช่นนั้น

การฉกฉวยทรัพย์สินบริสุทธิ์ของคนอื่นไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ความลุ่มหลงต่อเสียงกระซิบของปีศาจแห่งความโลภทำให้บางคนกล้าช่วงชิงชีวิตของผู้อื่นและกลายร่างเป็นคนบาปที่ไม่เกรงกลัวต่อเงื้อมมือมัจจุราชจากนรก ขณะเดียวกันแม้พระผู้เป็นเจ้ากู่ก้องร้องตะโกนให้พวกเขาหยุด แต่ก็หาได้มีใครรับฟังไม่

อยากกำจัดคนชั่วช้าพวกนั้นออกไปให้หมด

ถ้ากำจัดพวกมันออกไปได้ก็คงดี

คราวนี้ท้องทะเลคงสามารถกลับมาสงบสุขได้อีกครั้ง

แม้อุดมการณ์นั้นจะเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเขาซึ่งเป็นโจรสลัดโดยตรง ลูก้าก็ยังรับฟังด้วยความชื่นชมจากใจจริง ทว่าลึกลงในใจก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าความศรัทธาของเลอรอยที่มีต่ออุดมการณ์นี้นั้นจะนำพาให้ทหารหนุ่มเดินทางไปยังที่แห่งใดต่อไป

ตั้งแต่เกิด ชีวิตของลูก้าก็จมปลักอยู่ในเงามืดมาตลอดทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เขารู้ดีว่าในความมืดนั้นยังมีปีศาจอีกมากมายที่ทหารของราชาเช่นเลอรอยอาจไม่เคยได้รู้จัก ความชั่วไม่มีวันหมดไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือผืนดินก็ไม่มีวันสุขสงบลงได้ด้วยความดีที่เหล่าเทวดาใฝ่หา

วันหนึ่งเลอรอยจะได้รู้ว่าความชั่วเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะความชั่วด้วยกันได้

แล้วเมื่อถึงตอนนั้นทหารหนุ่มคนนี้ที่เขาเพิ่งได้รู้จักจะแปรเปลี่ยนไปเพียงใด

เขาทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้

ครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบเลอรอย คือตอนที่เขาถูกนำตัวขึ้นไปยังลานประหารของเชวาเรีย

เขามองเห็นว่าเลอรอยอยู่ที่นั่นและเลอรอยก็มองเห็นเขา ในสภาพที่เขาถูกคุมขังไว้ในโซ่ตรวนของคนบาป ส่วนเลอรอยนั้นอยู่ในเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินอันศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมด้วยเกียรติยศ

ลูก้าไม่อาจจินตนาการได้ว่าทหารหนุ่มผู้ให้สัตย์สาบานอย่างแท้จริงต่อราชวงศ์และราชนาวีจะรู้สึกอย่างไรในยามที่พบว่าสหายคนหนึ่งซึ่งเคยแลกเปลี่ยนอุดมการณ์ซึ่งกันและกันบนโต๊ะอาหาร แท้จริงคือโจรสลัดโฉดชั่ว พวกที่ตนอยากกำจัดออกไปจากโลกใบนี้เสียยิ่งกว่าอะไร

อุดมการณ์ของลูก้าที่ต้องการจะเดินทางไปทุก ๆ ที่ได้อย่างอิสระเสรีนั้นเป็นความจริงจริงกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งที่เขาไม่ได้บอก…คือเขาต้องการเงินที่ใช้สำหรับเดินทางและดำรงชีวิต และเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตราและของมีค่าเหล่านั้น เขาก็ได้ช่วงชิงชีวิตของคนบริสุทธ์มาแล้วมากมาย จนกระทั่งถูกจับกุมและถูส่งขึ้นลานประหารในวันนี้

ตอนนี้ดวงตาของเลอรอยกำลังมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกแบบไหนนั้น

…เขาทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้

.

.

.

Aten Regas Rosales

.

พวกเขาเล่นละครกันนิดหน่อย

หลังจากรอดตายจากลานประหารมาได้ ลูก้าก็ไม่ได้ทำตัวเป็นโจรกระจอกตัวคนเดียวเที่ยวไล่ฆ่าและปล้นเงินจากเรือเล็กเช่นเดิมอีกแล้ว ทะเลพัดพาเขาไปไกลจากจุดที่เคยยืนอยู่อย่างมาก ในตอนนี้…เขากลายเป็นกัปตันเรือโจรสลัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟินเชอรี แน่นอนว่าแม้จะไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก แต่ในฐานะโจรสลัดแล้วมันเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิต หรืออย่างน้อยก็สูงกว่าที่ผ่านมา

เขาได้พบกับเลอรอยอีกครั้ง ทางนั้นแสร้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ เขาเองก็แสร้งทำในแบบเดียวกัน ลูก้าไม่ได้คาดหวังอะไรนัก นอกจากความรู้สึกสนุกที่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม้ไหนกับเขา

แต่ลึก ๆ แล้ว เขาเองก็คงจะยังอยากได้คำตอบ

คำตอบ ที่เขาเคยทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้เมื่อในอดีต

จนวันหนึ่งเมื่อเลอรอยส่งจดหมายมาถึงเขา และเชิญเขากับเพื่อนคนสำคัญไปร่วมงานเลี้ยงของราชนาวี เขาไม่คิดปฏิเสธคำเชิญนี้แม้แต่น้อย เพราะนี่คืองานที่ทหารจะเข้ามารวมตัวกันเป็นจำนวนมากและยังเปิดให้คนนอกสามารถเข้าร่วมได้ด้วย มันไม่มีโอกาสไหนอีกแล้วที่จะสืบข่าวจากฝ่ายทหารได้ดีกว่านี้

ทว่าลูก้าก็ยังเชื่ออยู่ว่าเลอรอยอาจจะคิดเล่นลูกไม้อะไรสักอย่างกับเขา และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

พวกเขาอยู่ในงาน แล้วจู่ ๆ เลอรอยก็พานาวาเอกอาร์เธนเข้ามาหา แม้จะคุมสีหน้าไว้ได้ แต่ในใจของลูก้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ที่น่าขันกว่านั้นคือเขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะมาพบอาร์เธนเลยแม้แต่น้อย แถมก่อนหน้านี้ไม่นานเขาดันไปรู้ข้อมูลของอาร์เธนมาจากสายข่าวในมาอินยาร์ด ทำให้หลุดเรียกชื่อของอาร์เธนไปในทันทีโดยไม่รู้ว่าคนทั่วไปจะเรียกอาร์เธนด้วยฉายา ‘แบล็คบัคคาร่า’

มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ทันทีว่าตัวเขาเองไม่ใช่คนทั่วไปอย่างปากว่า แต่ต้องเป็นใครสักคนที่สนใจมากพอที่จะสืบข่าวและทำให้รู้จักใบหน้าและชื่อที่แท้จริงของแบล็กบัคคาร่าได้ ซึ่งกลุ่มคนที่ว่านั้นก็คงหนีไม่พ้น ‘พวกโจรสลัด’ นั่นเอง

แต่ช่างปะไร ใช่ว่าเขาจะสนใจการปิดบังตัวเองนักหนา

ที่เขาต้องการคือการเปิดเผยตัว และเจรจากับนายทหารทั้งคู่ซึ่งหน้าต่างหาก

เขาไม่รู้จักอาร์เธน และรู้จักเลอรอยเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งก็เป็นเวลาที่ห่างไกลจากตอนนี้มากแล้ว ตอนนี้เขาต้องการรู้ว่าตัวตนของทั้งคู่เป็นยังไง รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขายึดถือไว้ในใจ ไวแอตปรามเขาไว้ด้วยสายตาเพราะมันเสี่ยงเกินไปที่จะเปิดเผยตัวกลางดงทหาร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเปิดเผยตัวอยู่ดี

เพราะละครได้จบลงไปนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เลอรอยเชิญพวกเขามาที่นี่ และไม่ได้ปิดบังอีกต่อไปว่าตนคือ ‘นาวาโท’ เลอรอย รวมทั้งการที่เลอรอยบอกกับอาร์เธนว่าพวกเขาเป็นคนคุมท่าเรือ ทั้งที่เขาเคยบอกไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงคนทำงานรับจ้างทั่วไป หากเลอรอยไม่ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ก่อนแล้วก็คงไม่ได้เอ่ยปากบอกอาร์เธนไปเช่นนั้น

หากต้องการที่จะจับกุม ในตอนนี้ทั้งสองจะส่งสัญญาณให้ทหารคนอื่น ๆ รู้ตัว และเข้ามาจับกุมเขากับไวแอตเมื่อไรก็ได้

ถึงแม้การจับกุมจะไม่ได้เกิดขึ้น แต่การพยายามที่จะเจรจาดูเหมือนจะไม่เป็นผลเช่นกัน อาร์เธนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอุดมการณ์ของตัวเอง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ‘ทะเลเลือด’ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นการลงมือทำด้วยอุดมการณ์บางอย่างมากกว่าจะเป็นเพียงการลงมือตามคำสั่ง ส่วนเลอรอยเองก็วางท่าเฉยต่อการสนทนา

ลูก้าเริ่มคิดไม่ออกว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่ ตรงนี้…หรือเลอรอยเพียงแค่สนุกกับการที่จะได้กระชากหน้ากากของเขาต่อหน้าแบล็กบาคาร่า โดยที่ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจที่จะถอดหน้ากากอยู่แล้วกันแน่

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่คนที่ตัดสินใจได้แน่วแน่กว่าเขาคือไวแอต ไอ้หนุ่มนั่นลุกขึ้นและจบบทสนทนาอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น ลูก้าพอจะรู้ได้ว่าไวแอตเองก็คงไม่อยากเห็นกัปตันของตนตะเกียดตะกายข้ามกำแพงเพื่อจะไปจับมือกับราชนาวีแบบที่กำลังพยายามอยู่นี้

นั่นทำให้ลูก้ารู้สึกละอายอยู่ลึก ๆ แต่ก็รู้ดีมาตลอดว่าไวแอตเป็นผู้นำในแบบที่ต่างจากตน เขาโอนอ่อนตามทุกคน เลือกที่จะใช้ทุกวิถีทางที่จะไปให้ถึงเป้าหมายและไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีมากนัก แต่ไวแอตมักจะตัดสินใจอย่างเถรตรง น้อยครั้งที่จะยอมก้มหัวให้ใคร และหลายครั้งก็เลือกที่จะใช้ไม้แข็งกับคนอื่น ๆ

อาร์เธนอาจจะไม่สนุกกับการสนทนานัก และเขาก็ไม่รู้ว่าเลอรอยจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือเปล่าสำหรับการเชิญพวกเขามาในครั้งนี้ ดูเหมือนละครฉากนี้จะจบลงแบบไม่ค่อยสวยเท่าไร

แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ลูก้าก็เลือกที่จะเชื่อและเป็นฝ่ายเดินตามหลังไวแอตออกไปอยู่ดี

.

.

.

Christain  Carlo

.

อุดมการณ์

ในบรรดาปัจจัยทุกอย่างที่มนุษย์มี อุดมการณ์เป็นสิ่งที่ใช้จูงใจคนได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเงินตราหรือความรักตัวกลัวตาย แต่ในขณะเดียวกัน หากมันได้ฝังลึกลงในใจของผู้คนแล้ว มันก็จะกลายเป็นแรงจูงใจที่มีความมั่นคงเสียยิ่งกว่าอะไรด้วยเช่นกัน

โชคดีที่ฟินเชอรีเปิดทางให้ลูก้าได้ใช้ทั้งสามอย่าง

เขามีพันธมิตรที่เชื่อในอุดมการณ์ของเขา อุดมการณ์ที่เขาอวดอ้างว่าแม้จะเขียนด้วยคำว่า ‘ยึดอำนาจ’ แต่มีความหมายถึงชีวิตที่ปลอดภัยขึ้นของประชาชน ขณะที่โจรสลัดก็ได้ผลประโยชน์ตามที่อยากได้ทุกผู้ทุกหมู่เหล่า และฟินเชอรีก็จะสงบสุขมากขึ้นหลังจากที่ยุคสมัยของผู้ปกครองเดิมได้ผ่านพ้นไป

อันที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่านั่นคืออุดมการณ์ของตัวเองโดยแท้จริงหรือเปล่า อาจจะมีความจริงใจของเขาปนอยู่สักกึ่งหนึ่งก็ได้ แต่ส่วนที่เหลือในใจนั้นล้วนเต็มไปด้วยความต้องการที่จะครอบครองฟินเชอรีเอาไว้ในมือของตนเท่านั้น

‘อุดมการณ์’ ที่อยู่ในใจของเขา ไม่ว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนกัน คือมันสามารถกลายเป็นสิ่งที่สามารถปูทางให้เขาไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้สำเร็จในที่สุด เพราะงั้นใครจะสนใจว่านักหนาว่ามันจะจริงหรือไม่จริง ขอเพียงทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย หากผู้คนจะมองว่าเขาเป็นโจรสลัดผู้มากอุดมการณ์ แล้วทำให้ทหารจะลดความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะกำจัดพวกเขาลงไปได้ ก็นับได้ว่ามันเป็นหนทางที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน

ลูก้าเล่าให้คาร์โลฟังถึงอุดมการณ์ครั้งใหม่ของเขา คราวนี้ไม่ใช่เพียงฟินเชอรีแต่จะเป็นทั่วทั้งทวีป

มันจะเป็นยังไงกันเล่า หากทะเลทั่วทั้งทวีปอยู่ในการปกครองของโจรสลัดที่ไม่โหดเหี้ยมเกินไปนักดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในฟินเชอรี ทหารและโจรสลัด…แทนที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเหน็ดเหนื่อยและสูญเสียบุคลากรที่สำคัญไป สู้ร่วมมือกันแล้วเสาะหาผลประโยชน์ร่วมกันให้ได้แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ

แม้ลูก้าจะชี้แนวไปในทางนั้น แต่หาใช่ว่าเขาจะมั่นใจนักว่าคาร์โลหรือทหารจะยอมร่วมมือด้วย แต่อย่างน้อยที่สุด…หากคำพูดของเขาสามารถทำให้ทางทหารรู้สึกว่าบลูไวเปอร์นั้นเป็นมิตรและไม่อันตรายได้ เท่านั้นก็ถือว่าเขาได้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป แล้วคาร์โลได้ย้ำถามกับเขาอีกครั้งว่า เป้าหมายดั้งเดิมที่เคยคุยกันไว้นั้น ยังคงไม่เปลี่ยนไปใช่หรือเปล่า เรื่องที่เขาจะยังคงต้องการครอบครองท้องทะเลทั้งหมด และดูแลปกครองผืนน้ำให้สงบสุขภายใต้เงาธงของเขา นั่นทำให้ลูก้าตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องการร่วมมือกับเขาจริง ๆ ก็ได้

‘เชื่อได้หรือ’ หลายครั้งที่เขาถามตัวเองแบบนั้น

ตั้งแต่ไหนแต่ไรลูก้าก็ไม่เคยนึกอยากเชื่อใจพวกทหารเรือ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาถูกจีโน่หักหลังและส่งเข้าคุกเมื่อหลายปีก่อน ไหนจะอุดมการณ์จอมปลอมของเขา…นั่นสามารถทำให้คาร์โลเชื่อและยอมร่วมมือได้จริงๆน่ะหรือ

จะยังไงก็ช่าง ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากการยึดครองฟินเชอรี คนอื่นจะมองภาพของเขาเป็นยังไงก็ช่างถ้ามันจะทำให้เขาไปถึงเป้าหมายได้…

เท่านั้นก็พอ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขากลับเดือดดาลนักในตอนที่คาร์โลพูดว่าจะทำเพื่อประโยชน์สุขของชาวเชวาเรียเท่านั้น

หลังงานราชนาวีผ่านพ้นไป เขานัดพบกับคริสเตน คาร์โล (หรือที่บางครั้งที่เขาเรียกเล่น ๆ ว่าซีซี) บนหลังคาของอาคารหนึ่งในเชวาเรีย อากาศหนาวเย็นช่วงปลายปีทำให้ขาของเขาที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปบนหลังคานั้นแข็งจนแทบขยับไม่ได้

แต่เมื่อขึ้นไปถึงและได้นั่งลงคุยกัน ลูก้ากลับรู้สึกอุ่นใจขึ้น จากการเล่นละครฉากแล้วฉากเล่าในงานที่เต็มไปด้วยทหารและชนชั้นสูงซึ่งเขาไม่คุ้นเคยด้วย ความรู้สึกที่ได้กลับมาพบคาร์โลอีกครั้งจึงทำให้เขารู้สึกคล้ายการได้กลับมาพบเพื่อนเก่า และในบางครั้งก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับช่วงเวลาที่เขาได้พบกับจีโน่เมื่อในอดีต

ความรู้สึกที่ทั้งวางใจและไม่วางใจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ต่อหน้าคาร์โล เขาเล่นละครได้ไม่เก่งนักและอึดอัดที่จะต้องทำ บางครั้งลูก้าก็สงสัยเหลือเกินว่ามันเป็นแผนของคาร์โลเองหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้

‘สหายร่วมอุดมการณ์’ พวกเขาจะสามารถเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ หรือ

“ข้าทำเพื่อแผ่นดินเท่านั้นหากสิ่งใดเป็นผลประโยชน์ต่อเชวาเรีย…” คาร์โลเอ่ยคำพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย “หรือจริงๆข้าอาจทำเพื่อตนเองก็ได้”

“…อย่างไรหรือ ที่ว่าทำเพื่อตัวเอง”

“… ข้อมูลของข้าไม่เปิดเผยนัก” คาร์โลพูดพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่ได้ให้คำตอบ

“ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่ข้าขอถามสักอย่าง… ” เขามองนายทหารที่นั่งอยู่เคียงข้าง “ก่อนนี้ที่เจ้าพูดว่า ‘เพื่อเชวาเรีย’ มันติดใจข้านัก..นั่นแปลว่าเจ้าใส่ใจเพียงเชวาเรีย หรือตั้งใจจะดูแลคนทั้งทวีปกันแน่ คาร์โล”

ลูก้าอดไม่ได้ที่จะต้องถามกลับไป ที่ผ่านมาเขามักจะพูดถึงการยึดครองทวีปทั้งทวีป แล้วก็คิดว่าคาร์โลจะต้องการสร้างประโยชน์สุขให้กับคนทั้งทวีปแกรนด์เกรทด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นหรือ

เพื่อประโยชน์สุขของเชวาเรีย…ที่ผ่านมาพวกมีอันจะกินในเชวาเรียยังมีความสุขกันไม่มากพอหรือ แล้วพื้นที่อื่นเล่า…หากคาร์โลใส่ใจเพียงเชวาเรียตั้งแต่แรก เขาเองก็คงไม่…

‘ไม่’ อะไร ลูก้าฉุกใจที่ตัวเองคิดแบบนั้น

ข้า…คิดจะร่วมมือโดยแท้จริงงั้นหรือ

ทำไมข้าต้องโกรธด้วยที่คาร์โลตั้งใจคุ้มครองแต่เพียงเมืองหลวง

“ข้าเพียงทำตามหน้าที่รักษาสมดุลย์ที่ควรจะเป็น…หากสิ่งใดไม่เกี่ยวกับเชวาเรียเหตุใดข้าจึงต้องใส่ใจ…” คาร์โลตอบกลับมา ในขณะเดียวกันก็มีแววสงสัยในดวงตา

ที่คาร์โลพูดมาก็ถูก ดูเหมือนจะเป็นตัวเขาเองที่ลืมไปแล้วว่าขอบเขตหน้าที่ของอีกฝ่ายซึ่งถูกย้ายมาประจำการที่นี่คืออะไร ดังนั้นเขาจึงคลายความไม่พอใจในอกลง และความรู้สึกนั้นกลับกลายเป็นความคาใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองแทนเสียแล้ว

“ทำไม เจ้าสนใจคนทั้งทวีป ความสงบสุข อย่างงั้นน่ะรึ” คาร์โลถามเขา ดูคล้ายจะนึกขันและมีความไม่แน่ใจอยู่ในที

ลูก้านึกไม่ออกว่าทำไมคนเลวเช่นเขามาอยู่ตรงนี้ และมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้ หลังจากนึกทบทวนอยู่นานว่ามันเป็นเพราะเขาหลอกตัวเองให้เล่นละครจนมันกลายเป็นตัวตนของเขาไปจริง ๆ หรือว่าเป็นคาร์โลที่ล่อหลอกเขาจนเขาแปรเปลี่ยนไปกันแน่

แต่ในที่สุดเมื่อถอยออกมามองดูให้ดีแล้ว ลูก้าก็ได้พบคำตอบที่ออกจะน่าหัวเราะอยู่สักหน่อย มันเป็นเรื่องของนิสัยพื้นฐานของเขานั่นเอง ไอ้ความหวงของ ความต้องการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ…ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้เขาเสมอ

ถ้าพื้นที่ทั่วทวีปกลายเป็น ‘ของ ๆ เขา’ แล้ว เขาย่อมต้องอยากดูแลให้มันสงบสุขได้ เหมือนอย่างที่เขาทำกับฟินเชอรี มันก็เท่านั้นเอง

นั่นเองคือเหตุผลที่เขาโกรธ

“…อย่างข้านี่ถือเป็นเพื่อนของเจ้าไหมวะ” จู่ ๆ เขาก็ถามออกไป

“หาความสัมพันธ์ไม่ดีพอป่านนี้ข้าคงไม่มานั่งนับดาวหนาวๆกับเจ้าแบบนี้หรอก อาจจะดีเกินควรเสียด้วย”

“…งั้นข้าเลิกแล้ว”

“เลิกอะไรรึ”

“…เลิกปีนกำแพงเจ้าเพื่อมองหาผลประโยชน์น่ะสิวะ” ลูก้าทำหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะพูดต่อ “…ถึงเวลาแล้วเจ้าจะเลือกข้างไหนก็ช่างเถอะ ข้าดันปักใจเชื่อเอาเองไปแล้ว ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าคงเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับคนส่วนรวม”

…เพราะงั้น…ไม่ว่าเส้นทางเดินของเรามันจะบรรจบกันได้ในสักวันหรือเปล่า

แต่ข้าก็พอใจที่ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารคือเจ้าว่ะ..

เขาดันเผลอคิดไปแล้วว่าหากวันหนึ่งเขาสามารถครอบครองผืนน้ำได้ทั้งหมด และบนผืนดินมีชายคนนี้คอยดูแล แม้จะเป็นเพียงในส่วนของเชวาเรีย อะไร ๆ มันจะดีกว่าตอนนี้แค่ไหน

เขาให้ทั้งความรักและความโกรธต่อพื้นที่ที่ตนต้องการครอบครองไปแล้ว มันอาจทำให้เขากระดากอายนิดหน่อยที่จะให้ข้อสรุปกับตัวเอง แต่บางที นี่อาจจะเป็นอุดมการณ์ของเขาเองจริง ๆ ก็ได้

โจรสลัดเช่นเขาไม่ได้คิดอยากจะทำเพื่อใครคนอื่น มันไม่ใช่อุดมการณ์ที่สวยหรูเกินตัว แต่เป็นเพียงเพราะว่าหากผืนน้ำทั้งหมดได้กลายเป็น ‘ของ ๆ เขา’ โดยแท้จริงแล้ว เขาก็คิดแต่จะดูแลมันให้ดีที่สุดให้ได้ เท่านั้นเอง

.

.

.

.

This entry was posted in EXPIV. Bookmark the permalink.

Leave a comment