[EXPIV]-Bonus Event (I am) : Missing Piece

.

logosmEntry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Community PIRATE-IV
Entry Bonus-Event : I am

.

Rating : PG
Page : 7 หน้า
Word count : ประมาณ 4,325 คำ
Characters : ราเกซ, ไวแอต
Author’s Note : อยากทำให้ได้มากกว่าเน้ Y v Y นี่ช่างเป็นเดือนแห่งความคับแค้นใจของข้า /โน้ตนี้แม่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเลย…

.

.

.

Missing Piece

.

.

Iam001re

.

.

Iam002re

.

.

Iam004re

.

.

Iam005re

.

.

Iam006re

.

.

Iam007re

.

.

Iam008re

.

.

เมื่อข้าได้รู้จักแล้ว ว่าดวงอาทิตย์ที่แท้จริงนั้นสว่างไสวเช่นไร อบอุ่นเพียงใด

ยามที่แสงอาทิตย์ขาดหายไป ข้าจึงยิ่งรู้สึกชัดเจนว่าโลกของข้านั้นได้คงเหลืออยู่แต่เพียงความหนาวเย็นและความมืดมิดเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ข้าเคยชินกับมันและเรียนรู้ที่จะกลับมามีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวอีกครั้งได้รวดเร็วอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ในบรรดาจุดอ่อนมากมายที่ข้ามีอยู่นั้น การที่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดในใจได้ดีมันได้กลายมาเป็นจุดแข็งที่ทำให้ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงเดี๋ยวนี้ไปเสียแล้ว

ความปรารถนาที่อยากจะล่องเรือออกไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ให้ได้ในสักวันนั้น นับวันจะยิ่งกลายเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนในใจมากขึ้นทุกที ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่บนเรือของท่านราเกซทำให้ข้าได้รู้ว่าโลกข้างนอกนั้นกว้างใหญ่ยิ่งกว่าที่ข้าคิด พวกเราเคยไปที่ฟินเชอรีด้วยกัน ท้องทะเลของที่นั่นอุดมสมบูรณ์เสียจนดูราวกับว่าเราจะสามารถจับปลาขึ้นมาเท่าไรก็ได้โดยไม่มีวันหมด ผู้คนที่นั่นเป็นมิตรแตกต่างกับริเบอโร่และอียาซเซอร์ที่ข้าเคยอยู่เป็นอย่างมาก จนเมื่อหวนคิดกลับไปแล้ว บางทีฟินเชอรีในตอนนั้นอาจจะเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวรรค์ที่สามารถจับต้องได้ก็เป็นได้

ข้าได้เห็นไข่มุกเม็ดใหญ่ที่สุดก็ตอนที่ไปเยือนที่นั่นเช่นกัน มันส่องประกายสีนวลเมื่อต้องกับแสงแดด ข้าจดจำได้ดีว่าตอนนั้นในใจของข้ารู้สึกตื่นเต้นเพียงใด เมื่ออัญมณีที่กำเนิดขึ้นจากท้องทะเลที่พวกเราต่างหลงใหลนั้นมาอยู่บนมือของข้า ทว่ามือของข้านั้นก็ยังเล็กเกินกว่าที่จะโอบอุ้มสิ่งมีค่านั้นไว้ให้ดีพอ สุดท้ายแล้วข้าจึงส่งมันกลับคืนให้กับท่านราเกซผู้เป็นเจ้าของไป

สิ่งที่ข้าจดจำได้ดียิ่งกว่า คือรอยยิ้มและแววตาของท่านราเกซในขณะที่กำลังจ้องมองไข่มุกเม็ดนั้น มันได้กลายเป็นภาพสำคัญเกี่ยวกับฟินเชอรีที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของข้ามาตลอดแม้ว่าพวกเราจะอยู่ที่นั่นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

ข้าตัดสินใจออกเรือมาด้วยตัวคนเดียวเพราะในใจของข้าใฝ่หาถึงการผจญภัยที่สนุกสนานเช่นครั้งนั้นอยู่เสมอ ทว่าเบื้องลึกในใจข้ายังถามตัวเองอยู่เสมอว่าบนผิวน้ำสีครามอันกว้างใหญ่นี้ ท่านกำลังล่องทะเลอยู่ในที่แห่งใด แล้วพวกเราอาจจะมีโอกาสได้พบกันอีกสักครั้งหรือเปล่า

ในตอนนั้นท่านหลอกให้ข้าไปส่งข่าวที่อียาซเซอร์ และไม่เคยกลับมารับข้าอีกเลย มันเป็นเพราะข้าทะเลาะกับล็อกนาห์ผู้เป็นโบซันของท่านอย่างนั้นหรือ มันเป็นเพราะเขาคอยจ้องจะสังหารข้าในยามที่มีโอกาสอยู่ตลอดเช่นนั้นหรือ

ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมท่านถึงไม่เลือกเก็บ ข้า ไว้ข้างกายแทนที่จะเป็นเขากันเล่า

แม้ข้าจะยังเด็กนัก แต่ข้าก็รู้คำตอบดี มันเป็นเพราะข้ายังอ่อนแอนัก แล้วยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทะเลหรือการต่อสู้เลยแม้เพียงนิด มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ท่านจะเลือกเก็บโบซันคนนั้นเอาไว้ แล้วปล่อยให้ข้ากลับไปยังที่ ๆ ท่านคิดว่าข้าควรอยู่

แต่ว่าหากไม่ใช่ข้างกายท่านแล้ว จะเป็นที่ใดกันเล่าที่ข้าควรอยู่

.


.

ในคืนเดือนมืดนั้นท้องทะเลจะถูกย้อมด้วยสีดำ

ยามที่ข้าลั่นไกและวาดดาบผ่านลำคอของพวกเขา

ทะเลจะถูกย้อมด้วยสีแดง

ข้ามักจะหลอกลวงพวกเขาด้วยการทำทีว่าเรือของข้าต้องการความช่วยเหลือ หรือแสดงละครว่าใบเรือของข้าพังเสียหาย และตัวข้านั้นก็ลอยเรืออย่างโดดเดี่ยวและอ่อนล้าอยู่กลางทะเลมาหลายวันแล้ว ความที่ข้าออกเรือมาด้วยตัวคนเดียวพวกเรือสินค้าขนาดเล็กจึงมักจะประมาทและมีเมตตาให้ข้าเมื่อแรกเห็น จวบจนวินาทีที่พวกเขาช่วยกันพาร่างของข้าขึ้นเรือนั่นเล่า พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาได้ช่วยกันพามัจจุราชขึ้นมาปลิดชีวิตตนถึงถิ่นเสียแล้ว

ข้าไม่เคยชื่นชอบการสังหารผู้คนแต่ก็ไม่เคยรังเกียจ ทุกอย่างเป็นไปตามความเหมาะสมและจำเป็นเสียมากกว่าจะเป็นความนิยมส่วนตัว เรือสินค้าขนาดเล็กมักจะมีลูกเรืออยู่ประมาณห้าถึงสิบคนหรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย หากข้าไม่สังหารพวกเขาเสียให้หมดเสียก่อน ด้วยตัวคนเดียวแล้วข้าคงไม่อาจขนสินค้าหรือสมบัติใด ๆ กลับมาที่เรือของข้าได้ เพราะต้องคอยพะว้าพะวงกับการรับมือพวกเขาไปด้วย

ความเมตตาไม่ทำให้ข้าได้มาซึ่งเงินทองของจำเป็น และโชคดีไม่น้อยที่ข้าสามารถวางความเมตตานั้นทิ้งไว้บนชายฝั่งได้ชั่วคราว เพื่อที่จะได้ออกมาทำงานที่แท้จริงของข้าในท้องทะเล

หลังจากที่ข้าตวัดดาบบั่นคอเหยื่อรายสุดท้ายของเรือลำนั้นให้ร่วงล้มลงไป ท้องทะเลก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผืนน้ำสีดำที่เจือด้วยเลือดแดงไม่ยินดียินร้ายกับตัวตนของข้าที่ปรากฏขึ้นกลางทะเล ในด้านหนึ่งมันทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยที่ไม่มีใครที่อยู่เคียงข้างข้าในเวลานี้ ไม่มีใครเลยที่ได้มองเห็นตัวตนที่ถูกฉาบด้วยสีดำของข้า แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็กลับกลายเป็นความเดียวดายที่เจ็บปวดด้วยเช่นกัน

หลายปีที่ออกทะเลมา ข้าไม่เคยได้พบการผจญภัยที่ข้าเคยใฝ่ฝันถึงอีกเลย มันทำให้ข้านึกสงสัยอยู่ตลอดว่าเหตุใดเมื่อข้ากลับไปยังฟินเชอรีอีกครั้ง ข้ากลับไม่รู้สึกสนุกสนานหรือมีความสุขมากเท่าในครั้งนั้นที่ข้าได้ไปเยือนที่นั่นพร้อมกับท่านราเกซ หรือว่าความสุขนั้นมันคงจะเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตหนึ่ง

และข้าได้สูญเสียมันไปตลอดกาลแล้วเช่นนั้นหรือ

ระหว่างที่ข้านั่งพักลงที่กราบเรือและครุ่นคิดถึงเรื่องนั้น เรืออีกลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอยู่ห่างออกไปทางเส้นขอบฟ้า มันแล่นผ่านคลื่นน้ำอย่างเงียบเชียบจนทำให้ข้านึกสงสัยว่าใครกันที่รู้จักกระแสน้ำและควบคุมเรือได้เชี่ยวชาญเพียงนั้น และที่สงสัยยิ่งกว่า คือเรือลำนั้นจะมีสมบัติให้เก็บเกี่ยวอยู่มากน้อยเพียงใด

ทว่าเมื่อมันแล่นเข้ามาใกล้เข้า ข้ากลับได้พบความจริงที่น่าพรั่นพรึง มันทำให้ข้าต้องรีบบรรจุกระสุนลงในปืนยาวคู่ใจ แต่ด้วยความร้อนรนทำให้กระสุนหลุดจากมือของข้าไปก่อนที่จะใส่มันลงปากกระบอกปืนได้สำเร็จ แล้วเมื่อข้าเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มัจจุราชที่แท้จริงก็ได้จ่อปืนเล็งมาที่ศีรษะของข้าเสียแล้ว

“…อย่าขยับ” เสียงนั้นพูดอย่างนุ่มนวลทว่าแฝงด้วยความรู้สึกเยือกเย็น ‘จีโน่ แองเจโลนี่’ ผู้ยืนอยู่บนเรืออีกลำมองตรงมาที่ข้า ในความมืดนั้นข้ามองเห็นอะไรไม่ชัดนัก แต่รู้สึกได้ว่าสายตาที่มองตรงมานั้นเจือปนไปด้วยความสงสัย

พื้นเรือที่ข้าเหยียบอยู่ เต็มไปด้วยซากศพและเลือดของลูกเรือ ขณะที่พื้นเรือซึ่งเขาเหยียบอยู่เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของพวกโจรสลัดนอกรีต บรรยากาศเงียบเชียบชั่วอึดใจในขณะนั้นได้ตอบคำถามที่เขากำลังสงสัย

ใช่ ข้าอยู่ ‘ที่นี่’ คนเดียว

และเขาก็เช่นกัน

จีโน่เป็นคนแปลก เขามักจะวางท่าสุขุม ดูรักสันโดษ แต่ยามที่มีคนเข้าหาเขาก็ไม่ผลักไสออก และในขณะเดียวกันนั้นก็ดูรักสนุกและขี้เบื่ออย่างร้ายกาจ โชคดีเหลือเกินที่วันนั้นจีโน่ไม่ได้ฝังกระสุนลงในศีรษะของข้า และเหตุผลที่เขาไม่ทำก็คือ “…..” แน่นอนว่าเขาไม่มีวันตอบคำถามที่เขาไม่อยากตอบ

ในวันนั้นเขาช่วยข้าขนของจากเรือสินค้ากลับลงเรือตัวเอง พวกเราแล่นเรือกลับเข้าหาฝั่งด้วยกัน ข้ายอมสารภาพกับเขาว่าข้าเป็นโจรสลัดเพราะหลักฐานมันเห็นอยู่เต็มตา และเขาเองก็สารภาพออกมาว่าเขาหาใช่ประชาชนผู้รักความยุติธรรมเสียจนต้องปรี่ออกทะเลมาไล่ฆ่าโจรสลัดไม่ เพียงแต่สนุกกับการได้ลองฝีมือการต่อสู้ของตนกับพวกโจรสลัดตัวจริงเท่านั้น

และความฝันของเขาคือการได้ออกไปยังทะเลอันกว้างใหญ่ ท่องเที่ยวไปทั่วทุกที่โดยไม่ต้องห่วงใยหรือกังวลสิ่งใด และต่อสู้กับโจรสลัดทุกหมู่เหล่าเพื่อที่จะได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในท้องทะเล

ความฝันแบบเด็ก ๆ เช่นนั้นมันทำให้เขามีท่าทีขัดเขินอยู่บ้างเมื่อเริ่มต้นเล่า ข้าจึงแสร้งบอกไปว่าสิ่งนั้นก็เป็นความฝันของข้าเช่นกัน ทั้งที่แท้จริงแล้วการพุ่งเข้าต่อสู้กับพวกโจรสลัดตัวเป้งนั้นมันไม่เคยอยู่ในหัวของข้าแม้แต่น้อย เดรญ่า ชามาลแห่งแดนใต้ก็โหดเหี้ยม ดัสกี้ไบรน์แห่งแดนตะวันตกก็บ้าคลั่ง ใครคิดอยากไปต่อสู้กับพวกมันด้วยตัวคนเดียวแปลว่าเจ้าคนนั้นมันคงจะต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ

นั่นคงเป็นครั้งเดียวที่ข้าหลอกเขาได้สำเร็จ เขาถึงได้ยอมเล่าความฝันของตัวเองออกมาเสียหมดเปลือก และนั่นก็ทำให้ข้าได้รู้ว่า เจ้าคนบ้าคนนั้นมันได้มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของข้าแล้วนี่เอง

ข้าไม่เคยนับถือเทพเจ้าหรือเชื่อถือในพระเจ้า ทว่าสำหรับคำว่าโชคชะตานั้นมันออกจะมีเค้าลางที่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง แม้จะหาเหตุผลต่าง ๆ นานามาอ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วลึกในใจข้าก็ยังเชื่อว่าการที่ได้พบกับจีโน่นั้นเป็นโชคชะตา

ยิ่งได้รู้ว่าจีโน่นั้นไม่ยอมออกทะเลเพราะห่วงครอบครัวและงานที่บ้านทั้งที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่ในใจ มันยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังถูกคุมขังไว้ในกรงจนไม่อาจเอื้อมถึงสิ่งที่ต้องการที่สุดได้ และมันก็ทำให้ข้ายิ่งอยากดึงเขาออกมาให้หลุดพ้นจากพันธนาการ เพื่อที่จะให้เขามาอยู่เคียงข้างข้า

ข้าต้องการมีเขาอยู่เคียงข้าง เป็นทั้งสหาย เป็นทั้งคู่ชีวิต

มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า หาก ‘ที่นี่’ …บนท้องทะเลแห่งนี้…จะมีข้ากับเขาที่ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน

.


.

“ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้ข้าขึ้นเรือของเจ้าอีกหรือ” จีโน่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ขณะแกว่งแก้วเหล้าในมือไปมา “ฝีมือดาบข้าก็เหนือกว่า การคุมเรือข้าก็เหนือกว่า เจ้ามีดีเพียงแค่เรื่องยิงปืน ที่แม้แต่มดไต่อยู่บนยอดเสากระโดงเจ้าก็ยังยิงโดน…แต่แค่นั้นกลับคิดจะมาวางตัวเป็นนายของข้า ลากข้าขึ้นเรือลำจิ๋วของเจ้าไปด้วยกัน มันจะไม่เพ้อฝันไปหน่อยหรือ”

“เอ่อ…” ข้าพยายามจะหาจุดที่พอจะเถียงได้ แต่ไม่มี เลยได้แต่ทำหน้าจ๋อยใส่คนที่นั่งบ่นยาวอยู่ข้าง ๆ อย่างขอความเห็นใจ

“อีกอย่าง ข้าก็มีธุรกิจของทางบ้านที่ต้องรับผิดชอบด้วย ขืนทิ้งทุกอย่างไปล่องทะเลเล่นพ่อข้าคงอกแตกตายพอดี” เขาสำทับ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองมาที่ข้าอย่างเฉยเมยเหมือนทุกครั้ง

ข้าจึงได้แต่โน้มเข้าไปซบตรงบ่าของเขา วิธีอ้อนที่จีโน่มักจะบ่นว่ามันทำให้ข้าดูอ่อนแอและไม่เอาไหนกว่าเดิม แต่ถ้ามองจากมุมของข้าล่ะก็บางครั้งมันก็ใช้ได้ผล โดยเฉพาะในเวลาที่เขากำลังเมา…แต่ก็แค่บางครั้งน่ะนะ

“ …ใจเจ้าก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อค้าตามพ่อไม่ใช่หรือวะ ไหนว่าอยากลองสู้รบกับโจรสลัดทุกลำเรือ ฆ่าทุกคนที่ขวางทางเพื่อเป็นที่หนึ่ง แล้วครอบครองทุกตารางนิ้วในทะเลที่ย่างกรายไปถึงไง” ข้าย้ำเตือนให้เขาจำได้ถึงความฝันที่เขาเคยเล่าให้ข้าฟัง ถึงจะน่าสงสัยอยู่ก็เถอะว่าทำไมลูกพ่อค้าธรรมดาถึงได้มีความฝันพรรค์นี้ได้ แต่ช่างปะไร…

“ ไอ้อยากน่ะมันก็อยากอยู่ แต่มันเป็นไปไม่ได้…”

“ …แต่ข้า…อยากออกทะเลไปด้วยกันกับเจ้านี่หว่า” ข้าสารภาพออกไปตามตรง ดูเหมือนฤทธิ์เหล้าจะทำให้ความปากแข็งของข้าพลอยอ่อนลงไปด้วย วินาทีนั้นหัวใจของข้าก็เต้นแรงขึ้นมาราวกับเพิ่งหลุดสารภาพรักออกไป แต่ข้าเถียงกับตัวเองว่าไม่ใช่ ข้าเพียงต้องการสหายที่เชื่อใจได้เพื่อออกเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น แค่นั้นจริง ๆ …

ระหว่างนั้นเขานิ่งเงียบไป แต่สุดท้ายก็ขำออกมาเบา ๆ ในลำคอ น้ำเสียงคล้ายเวลาที่เขานึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้หรืออะไรทำนองนั้น ข้าเลยผละออกจากบ่าของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ลมที่พัดผ่านทางช่องหน้าต่างเข้ามาทำให้เส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกตัดสั้นของเขาพริ้วไปตามลม แววตาที่หรี่ลงระหว่างยิ้มทำให้เขาดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ที่แปลงกายลงมาหลอกลวงพวกมนุษย์หน้าโง่

“ยกให้ข้าเป็นกัปตันสิ แล้วข้าจะลองคิดดูอีกทีก็ได้”

ในตอนนั้นมนุษย์หน้าโง่เช่นข้าทำหน้าแบบไหนออกไปกันนะ บางทีอาจจะเป็นสีหน้าลังเลครุ่นคิด หรืออาจจะเผลอยิ้มออกไปเหมือนเด็ก ๆ ก็เป็นได้

จีโน่ส่งสายตามองกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูนิ่งลง ข้าไม่ทันได้เอ่ยคำตอบรับออกไป เจ้าหนุ่มตรงหน้ามันก็คว้าขวดเหล้ามาเทใส่บนศีรษะของข้าเสียก่อน น้ำสีอำพันเย็นเฉียบไหลผ่านเส้นผม ใบหน้า ลงมายังเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ ความเย็นมันทำให้ข้าชะงักนิ่งไปเหมือนโดนตบเรียกสติ แต่ทันทีที่คิดแบบนั้นมือของจีโน่ก็ตบเข้าที่แก้มของข้าจริง ๆ แม้จะไม่แรงนักแต่ก็เจ็บอยู่ไม่น้อย พร้อม ๆ กับสติของข้าที่โดนเรียกกลับมานั่งประจำที่

“ …ทำหน้าลังเลอะไรกันวะ ไหนว่าอยากมีอิสระในการเดินทางไง ถ้ายอมให้คนอื่นเป็นกัปตันเรือแทนเจ้าได้ง่าย ๆ ก็อย่าใฝ่ฝันถึงคำว่าอิสระเลยว่ะ” จีโน่พูดแล้วยกเหล้าก้นขวดขึ้นดื่มจนหมด “…เจ้านี่มันไม่เหมาะกับการเป็นกัปตันจริงๆนั่นแหละ”

ข้าหลุบตาลงหนีสายตาของเขา รู้สึกราวกับเด็กที่อวดอ้างว่าตนเป็นฮีโร่ต่อหน้าเด็กผู้หญิงแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา “ …ข้าก็พอรู้ตัว…ใจข้ามันใฝ่หานายมากกว่าจะอยากเป็นนายคนอื่น” ชั่วครู่ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในใจของข้านึกถึงท่านราเกซ มันทำให้ข้าเผลอทำสีหน้าเจ็บปวดออกไป “ก็ข้าไม่เคยเป็นนายคนนี่หว่า ไม่รู้ว่ามันต้องทำตัวยังไง…”

“แล้วเจ้าก็ดันเป็นประเภทชอบไล่ตามคนที่ไม่เห็นค่าของเจ้าด้วยนะ ทั้งกับนายของเจ้าในอดีต ทั้งกับข้า…”

ข้าเมามากเสียจนจำไม่ได้เสียแล้วว่าหลังจากประโยคนั้นจีโน่หัวเราะออกมาแล้วพูดอะไรต่ออีก แต่ข้าจำได้แม่นยำว่าหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงเดือน ‘เรือเอกจีโน่ แองเจโลนี่’ ก็พาเพื่อนทหารมาจับข้าส่งไปเข้าคุกที่เชวาเรีย

ความทรงจำช่วงนั้นมันสับสนไปหมด ทั้งหัวใจและดวงตาของข้ามันถูกความแค้นบดบังจนมืดบอด ความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันมันกลายเป็นดาบที่ทิ่มแทงข้าซ้ำ ๆ ทุกช่วงลมหายใจ ระหว่างที่ทหารกำลังพันธนาการข้าด้วยโซ่ตรวน ข้าแผดเสียงเรียกชื่อของเขา…คนที่เคยได้รับความรักจากข้า ในตอนนี้เขาได้รับไปแม้กระทั่งความเคียดแค้นจากก้นบึ้งหัวใจของข้าด้วยเช่นกัน

หลังคำสบถสุดท้ายเงียบลง ข้าได้แต่นึกโทษตัวเอง นึกถึงสายตาสุดท้ายของจีโน่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากคุกแห่งนี้ มันว่างเปล่ากว่าครั้งไหน ๆ ที่ข้าเคยได้มองสบดวงตาของเขา ใจหนึ่ง…ข้านึกสงสัยอยู่ตลอดว่าความฝันที่จีโน่เล่าให้ข้าฟังนั้นมันเป็นความจริงหรือไม่ หรือเขาเพียงแค่จงใจทำให้ข้ารู้สึกสนิทใจด้วย เพียงเพื่อที่จะได้สืบว่าโจรสลัดผู้โดดเดี่ยวเช่นข้านั้นแท้จริงแล้วมีสายสัมพันธ์ใด ๆ ที่พอจะเป็นเบาะแสโยงไปถึงโจรสลัดบนเรือใหญ่หรือไม่เท่านั้น

แต่อย่างที่ข้าบอกว่าจีโน่นั้นออกจะเป็นคนแปลก ๆ อยู่สักหน่อย ในคืนก่อนวันประหาร เขาเดินตรงกลับเข้ามาในคุกอีกครั้ง ข้าไม่อยากแม้แต่จะเงยขึ้นมองหน้าของเขา แต่เพราะเสียงหัวเราะแบบนั้น เสียงหัวเราะที่ฟังดูคล้ายนึกเรื่องสนุก ๆ ขึ้นมาได้และกำลังอยากเล่าให้ข้าฟัง ข้าถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง

“ข้อเสนอวันนั้น ที่เจ้าเคยบอกว่าจะยอมให้ข้าเป็นกัปตันเรือ…ข้าจะรับไว้ก็ได้” เขายิ้ม รอยยิ้มที่ดูแปลกไปกว่าทุกทีมันทำให้ข้าประหลาดใจ ในรอยยิ้มนั้นดูเหมือนจะมีแววของเจ้าจิ้งจอกตัวเดิมอยู่ และในขณะเดียวกันนั่นก็เป็นสีหน้าที่ดูคล้ายจะมีความโล่งใจที่สามารถตัดสินใจบางอย่างได้แล้วเจืออยู่

“รู้ไหม คนอย่างข้า…ถ้าคิดจะขึ้นเป็นราชาจริง ๆ มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก ข้าไม่ใจอ่อนเหมือนเจ้า มีความทะเยอทะยานอย่างที่เจ้าไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยว” จีโน่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับซี่กรงไว้ จนดูคล้ายเป็นเขาเองที่กำลังถูกคุมขัง “แต่แบบนั้นมันไม่สนุกเลยสักนิด…”

“…เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่” ข้าตวัดเสียงใส่เขา เพราะไม่เหลือสติที่จะเข้าใจคำพูดอ้อมค้อมพวกนั้นอีกแล้ว

“ข้าบอกว่ามันไม่สนุก…ถ้าข้าจะเป็นคนทำมันด้วยตัวเอง” เขายิ้ม คราวนี้แววตากลับมองข้าอย่างอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ “…สู้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วมองดูคนอ่อนแอเช่นเจ้าวิ่งพล่านดิ้นรนอยู่ในทะเลที่จะกลายเป็นดั่งขุมนรก…มันสนุกกว่ากันเยอะ”

ข้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่รู้ได้ชัดว่านั่นคือคำบอกลา “เจ้าคิดจะทำอะไร จีโน่…”

“เจ้ามีสิ่งที่อยากได้ตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ดูสิว่าการที่เจ้าไล่ตามข้ามา…ข้าที่ไม่ได้สนใจจะให้คุณค่าอะไรกับตัวเจ้า มันทำให้เจ้าต้องอยู่ในสภาพแบบไหนกัน” เขาพูดแล้วผละมือออกจากลูกกรงที่เคยกักขังเขาไว้ กวาดสายตาไปรอบห้องขัง “สักวันเจ้าก็จะเหนื่อยเสียเอง วิ่งไล่ตามต่อไปไม่ไหว แล้วก็สิ้นหวัง…”

จีโน่ไม่ฟังคำถามของข้า ไม่ฟังคำทัดทานอะไรเลย เขาเดินกลับไปทางประตูทางออกจากคุก ที่ ๆ ข้าไม่อาจตามไปได้

“คนที่เจ้าควรจะไปอยู่เคียงข้าง คือคนที่ให้คุณค่ากับเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใดไม่ใช่หรือ อย่างเช่น…” เขาชะงักฝีเท้า มองเพดานต่ำเตี้ยของคุกอย่างครุ่นคิด “เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังนี่นะ…เรื่องตอนที่เจ้าไปฟอร์มอสต้า ใช้เวลาไปนั่งโม้กับไอ้เด็กคนหนึ่งไว้ว่าเจ้าจะเป็นโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ แล้วไอ้เด็กนั่นก็ดันเชื่อสนิทใจ ทั้งที่เจ้าก็ตัวคนเดียว…มีอยู่ก็เพียงแค่เรือลำเล็กๆเท่านั้นเอง”

จีโน่หันกลับมายิ้มให้ข้าอีกครั้ง คราวนี้รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนไปอีก มันกลายเป็นความรู้สึกสดชื่นและโล่งใจ “คนแบบนั้นไม่ใช่หรือที่ควรได้รับเกียรติให้เป็นคนสำคัญของเจ้า เป็นคนที่เจ้าควรคว้าไว้ใกล้ตัว…”

ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นหน้าเขา คือตอนที่เขาขึ้นไปบนหลังคาของอาคารใกล้ลานประหาร

“ตำแหน่งกัปตันแห่งบลูไวเปอร์ ข้ายกให้เจ้า”

อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้เห็นหน้าของเขา

มีเพียงกระสุนปืนที่ยิงลงมานัดแล้วนัดเล่า กับเสียงระเบิดเท่านั้นที่ดังขึ้นมา

“จงให้ค่าแต่เพียงคนที่ยอมมอบชีวิตให้เจ้าเท่านั้น”

ข้าวิ่งหนีออกมาท่ามกลางความชุลมุนและกลุ่มควันที่คละคลุ้งไปทั่ว

“ดิ้นรนเหมือนหนูติดจั่นจนกว่าจะได้ของที่เจ้าต้องการมาไว้ในมือ”

ข้าวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น…

“ทำให้ข้าสนุกกว่านี้หน่อยสิ…ลูก้า”

ไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง

ร่างของจีโน่ที่ร่วงหล่นลงมา

หลังจากที่ทหารคนหนึ่งลั่นกระสุนใส่เขา

.


.

คำพูดของจีโน่กลายเป็นสิ่งที่คอยกำหนดชะตาชีวิตของข้าหลังจากนั้น

ช่วงเวลาที่กำลังรักษาตัวจากบาดแผล ข้ารู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรกอย่างที่เขาได้สาปข้าไว้ ร่างกายอ่อนล้าเกินกว่าที่จะขยับตัว หัวใจหลุดหายไปจนรู้สึกโหวงในอก หมอโยฮันที่ช่วยข้าไว้และรักษาบาดแผลให้ ดูเหมือนจะเยียวยาข้าได้เพียงแค่ร่างกายเท่านั้น

ถ้าเพียงแค่ข้ารู้จักที่จะร้องไห้ออกมาได้ง่าย ๆ ในยามที่เสียใจ บางทีคงไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดมากเท่านี้

ข้ามุ่งหน้าไปกลับยังฟอร์มอสต้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มีเด็กคนหนึ่งรอข้าอยู่ที่นั่นเพราะข้าบอกให้เขารอ สักวัน…เมื่อเขาเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะกลับไปรับเขา เพื่อที่จะได้ออกทะเลไปด้วยกัน ข้าเคยพูดกับเขาแบบนั้น

แต่นั่นเป็นเพียงคำลวง เหมือนดั่งที่ข้าเคยหลอกลวงทุกคน

ตอนนี้ข้าเพียงกลับไปตามคำสั่งของจีโน่ผู้เป็นกัปตันแห่งบลูไวเปอร์ตัวจริงเท่านั้น

ทว่าตอนที่ไวแอตหันกลับมาเห็นหน้าข้า เจ้าหนูนั่นมองราวกับไม่เชื่อสายตา ดูเหมือนว่ามันจะได้ข่าวมาว่าข้าถูกประหารที่เชวาเรียไปเสียแล้ว ยิ่งทำให้ข้านึกสงสัยนักว่าในเมื่อรู้แบบนั้นแล้วทำไมมันจึงยังรอข้าอยู่

ข้า…มีอะไรให้เจ้าคาดหวัง มีคุณค่าอะไรให้เจ้าต้องรอคอย ถ้าเจ้าได้รู้จักข้าให้ดีกว่านี้ ถ้าเจ้าได้รู้ว่าตัวข้านั้นอ่อนแอและไม่เอาไหนแค่ไหน…เจ้าจะยังรอคอยที่จะได้อยู่เคียงข้างข้าเช่นตอนนี้หรือเปล่า

แต่ในช่วงเวลาที่ข้ากำลังคิดแบบนั้นนั่นเอง ไอ้หนูนั่นมันก็ร้องไห้โฮขึ้นมาทำเอาข้าต้องรีบตรงเข้าไปกอดไว้ แล้วขณะที่กอดร่างเล็ก ๆ นั้นไว้ข้าก็กลับหยุดคิดสิ้นทุกสิ่งอย่าง สองมือเล็ก ๆ ที่โอบกอดข้ากลับมามันทำให้ข้าไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเป็นคำสาปของใครหรืออุดมการณ์แบบไหนที่ทำให้ข้าต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่สนอีกแล้วว่าเส้นทางข้างหน้าจะน่าหวาดหวั่นเพียงไร หรือจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง

ข้าต้องเข้มแข็ง

เพราะมีเพียงเด็กคนนี้ที่จะร้องไห้ออกมา ยามที่พบว่าข้ายังมีชีวิตอยู่

มีเพียงเด็กคนนี้ที่คิดจะไล่ตามข้ามาจนถึงที่สุด

ข้าจำได้ดี ว่าเจ้าหนูนี่อยากออกไปเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้ยิ่งกว่าใคร และนั่นทำให้ข้าตัดสินใจที่จะพาเขาไป คำสัญญานี้แม้ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ข้าตั้งมั่นกับตัวเองว่ามันจะไม่มีวันกลายเป็นคำหลอกลวงไปอีก สิ่งนี้ได้กลายมาเป็นเจตนารมณ์ของข้าโดยแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เจตนารมณ์ที่จีโน่ได้ฝากฝังเอาไว้เท่านั้น

ข้า…จะต้องคว้ามงกุฏมาสวม และก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์ เพื่อให้ไวแอตได้เห็นว่าคนที่เขายอมมอบชีวิตให้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด

 .


 .

หลังจากนั้นและตลอดมา

ข้าคือ…ลูก้า โมโรนี่ กัปตันของกลุ่มโจรสลัดบลูไวเปอร์

ข้าจะคว้าทุกอย่างมาไว้ในมือ เพื่อก้าวขึ้นเป็น ‘ราชาโจรสลัด’

ต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ได้

เพื่อที่ ‘แผ่นหลัง’ ของข้าจะได้มีคุณค่ามากพอ

ที่จะให้เด็กคนนั้นได้ไล่ตาม

.

.

.

This entry was posted in EXPIV. Bookmark the permalink.

Leave a comment