[EXPIV]-Mini Event LV-Bachelor Night Party : Grow Up

.

logosmEntry นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Community PIRATE-IV
และ
Mini Event : LV-Bachelor Night Party

.

Rating : PG
Word count : ประมาณ 2,823 คำ
Characters : ราเกซ, เซธ, แซงค์
Author’s Note : เขียนเรื่องเกี่ยวกับราเกซอีกแล้ว… /นั่งกำทรายแปบ /ก็มันเป็นมินิเวนท์ปาร์ตี้ลิเวียธานนี่… แล้วก็เหมือนเป็นตอนต่อจากเวนท์ข้าคือแบบกลาย ๆ เลยล่ะนะ

.

.

.

Grow Up

.

.

รู้จักทั้ง

รสขมเฝื่อนนุ่มนวลของสุราและกลิ่นควันหอมหวานแสบซ่านจากยาสูบ

สองมือไล้ลูบตามหารสรักจากร่างกายคนแปลกหน้า

สรรหาความพึงใจเมื่อถูกเยินยอสรรเสริญด้วยเกียรติยศอันว่างเปล่า

และโกรธเกรี้ยวสั่นเทาเจ็บปวดในยามที่ของรักถูกช่วงชิง

เป็นได้ทั้งเทพเจ้าผู้ปลอบโยนผู้คนด้วยเมตตา เป็นได้ทั้งอสรพิษร้ายร่างแปลงแห่งซาตาน

บางครั้งอ่อนโยน บางครั้งแข็งกร้าวและชั่วช้า

ข้า เติบโตขึ้นแล้ว

.

งานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นโดยลิเวียธานนั้นค่อนข้างแตกต่างจากงานฉลองวันขอบคุณพระเจ้าของทางราชนาวีอยู่ไม่น้อย อาหารหรูหราเทียมเท่าทว่ากลับขัดกับภาพลักษณ์ของผู้เข้าร่วมโดยสิ้นเชิง พวกเขาล้วนแต่งกายอย่างที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสะอาดสะอ้านแต่ก็ไม่อาจเรียกว่ามอซอได้เต็มปาก ตามประสาโจรสลัดทั่วไปที่ไม่ได้สนใจกฏเกณฑ์ของสังคมภายนอกนัก แม้กิจกรรมที่เวทีกลางจะกำลังดำเนินไปทว่ารอบข้างก็ยังเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกวุ่นวายและมีเสียงเฮโลดังโร่ขึ้นเป็นพัก ๆ ยามที่มีใครสักคนทำอะไรบ้า ๆ จนกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจขึ้นมา

ข้าเดินเข้ามาภายในงาน ละสายตาจากใบหน้าของคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเพื่อมองหากัปตันราเกซ อัล-ซาบาค มันเป็นมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้ายังคงยึดถือไว้ ในเมื่อเขาเป็นผู้เชิญมาร่วมงาน ข้าก็ควรจะไปทักทายเขาเสียก่อนที่จะเริ่มดื่มเหล้าเคล้าเสียงดนตรีใด ๆ ที่เจ้าภาพได้จัดหาไว้ให้

“ไง! ข่าวว่าเจ้าไปเชวาเรียมา นึกว่าจะมาไม่ทันแล้วซะอีก” กัปตันเรือลิเวียธานเอ่ยทักข้าเมื่อเห็นหน้า น้ำเสียงขึงขังเต็มไปด้วยพลัง แม้จะเป็นคำพูดทักทายตามปกติ แต่เพียงเท่านั้นกลับตีตะกอนของความทรงจำเก่า ๆ ขึ้นมาได้ง่ายดาย

ข้ายิ้มให้เขา บางทีอาจจะเป็นรอยยิ้มที่ดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างเพราะการเดินทางยาวนานก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ดี ข้าตั้งใจมาที่นี่เพื่อผ่อนคลาย ใช่…สักแปดส่วนที่เป็นการพักผ่อน อีกสองส่วนนั้นเป็นความคาดหวังเล็ก ๆ ว่าการที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงที่สนุกสนานด้วยกันเช่นนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเรือดำเนินไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น

มองหาผลประโยชน์ตลอดเวลา…หลายคนมองข้าเช่นนั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ การก้าวเท้าเดินไปทางไหนต่อไหนโดยไม่มีเรื่องงานอยู่ในหัวนั้นข้าทำไม่เป็นเสียแล้ว

“ข้ามาทางลัดน่ะ…ตัดผ่านน่านน้ำฟอร์มอสต้ามาเลย ยังไงก็อย่าไปบอกไอ้ราห์เชนมันล่ะ” ข้าเอ่ยหยอกทีเล่นทีจริงก่อนนั่งลงข้าง ๆ

ครั้งสุดท้ายที่พวกเรานั่งอยู่ข้างกันเช่นนี้คงเป็นเมื่อครั้งที่เราประชุมลับกันที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ในยามนั้นมีทั้งเบคแกร์และรีสอยู่ด้วย แต่ในตอนนี้ไม่มีใครอื่น อย่างน้อยก็ไม่มีอยู่ในระยะที่จะเอื้อมมาฟังได้ถึงบทสนทนาของพวกเรา มันจึงให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและเป็นส่วนตัวกว่ากันมากนัก

ยาสูบในโถทรงประหลาด หรือที่เราเรียกมันว่าบารากุ ปลายข้างหนึ่งของมันถูกส่งมาให้ข้า ต้องยอมรับว่าข้าสูบมันเข้าไปอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่หลังจากนั้นฤทธิ์ยาก็ทำงานของมันได้ดีพอที่จะทำให้ลืมความหงุดหงิดใจเล็ก ๆ นั้นไปได้ รวมทั้งความอ่อนล้าที่ติดค้างอยู่ในร่างกายก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงด้วยเช่นเดียวกัน

พวกเราเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องของการบริหารคน แต่ต่อมากลับเป็นเรื่องของเหล่าหญิงงามภายในเรือ…อันที่จริงต้องเรียกว่าชาย ‘จิลเลี่ยน บลิสท์’ นายแพทย์ประจำเรือที่คอยอยู่เคียงข้างราเกซเสมอ รวมทั้งเรื่องของเหล่าลูกเรือที่ทำงานใกล้ชิด…ข้าอยากรู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นคนสนิทของเขา คนที่กัปตันราเกซให้ความไว้วางใจได้จริง ๆ

ดำเนินไปด้วยเรื่องสัพเพเหระ แต่เป้าประสงค์จริง ๆ คือสิ่งนี้ และบางทีกัปตันแห่งลิเวียธานอาจจะรู้ก็ได้ เขาจึงดูไม่สู้จะอยากเอ่ยถึงเหล่าคนสนิทนัก

ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของงาน อีกครึ่งเป็นเรื่องของความวางใจโดยที่ข้าไม่อาจโกหกตัวเองได้ ข้าอยากรู้ว่าสำหรับราเกซแล้วมีใครบ้างที่เป็นที่พึ่งพาได้โดยแท้จริง อย่างเช่นตอนที่ได้เห็นว่าเขามีจิลเลี่ยนอยู่เคียงข้าง เสี้ยวหนึ่งมันทำให้ข้าขัดใจเหมือนเจอก้างชิ้นโตที่ทำให้ไม่อาจดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ได้สะดวกนัก อีกเสี้ยวหนึ่งมันทำให้ข้าโล่งใจว่าแม้ไม่มีข้า-เด็กคนนั้น-อยู่ข้างเขา แต่ก็ยังมีใครสักคนที่คอยดูแลและเป็นกำลังให้

และเสี้ยวหนึ่ง…มันกลับทำให้ใจของข้าร้อนเป็นไฟ ความริษยาที่เงียบงันในอก…ข้าเก็บซ่อนมันไว้ หลอกล่อให้ตัวเองเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริง และประทับตรายืนยันให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยการปักใจเชื่อว่าราเกซ อัล-ซาบาค หรือ ‘นายท่าน’ ที่ข้าเคยรู้จักและมอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

ข้ามองเงาสะท้อนในน้ำ มองภาพของตัวเองแล้วเอ่ยถาม ว่าคนที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งน่านน้ำได้ด้วยกำลังของตัวเองนั้นต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ตัวตนของเขาจะแปรเปลี่ยนไปเพียงใด ภาพเงาบิดเบี้ยวของตัวเองในคลื่นน้ำได้กลายมาเป็นคำตอบให้ข้าได้โดยไม่ต้องขบคิดนานนัก

เปลือกหอยชิ้นเดียว ขนมปังก้อนเดียว ช่วงชีวิตที่ได้อยู่ร่วมกันเพียงครั้งเดียว

ทุกสิ่งที่มีความสำคัญต่อข้า ความทรงจำอันแสนสั้นที่หล่อหลอมและผลักดันให้ข้าเป็นดั่งเช่นตัวข้าในตอนนี้ มันคงไม่มีเหลืออยู่ในความทรงจำของเขาอีกแล้ว แม้ว่าเปลือกหอยชิ้นนั้นจะยังอยู่บนสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งที่ข้าสวมใส่อยู่เสมอ และขนมปังก้อนเดียวในมื้อเช้าบางครั้งก็สามารถทำให้ข้าหวนคิดถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่ร่วมกันในครั้งนั้น ช่วงเวลาหนึ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับข้า

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่นายของข้า ไม่ใช่คนที่ข้ารู้จัก ไม่ใช่อีกแล้ว…

ระหว่างนั้นบรรยากาศงานเริ่มย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้เด็กเวร ‘เซธ’ อาศัยเกมทรูออแดร์ที่ทุกคนกำลังเล่นกันมาเป็นเครื่องมือในการแกล้งลูกเรือของข้าจนเกือบจะมีเรื่องกับแซงค์ผู้ไม่ค่อยรู้จักยินดียินร้ายหรือสนุกสนานกับงานฉลองนัก ที่แซงค์ดูหงุดหงิดเป็นพิเศษก็คงเป็นเพราะเซธเคยฉวยโอกาสเล่นงานพวกเรามาก่อน จากนั้นมันก็หนีมาหลบเข้าร่มเงาของลิเวียธาน ไอ้ขี้ขลาดนั่น…

อย่างไรก็ดี ราเกซไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย และดูจะเกิดโทสะเพราะท่าทีเอาเรื่องของแซงค์อยู่ไม่น้อย คงไม่ต่างจากข้าที่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะการกวนอารมณ์ของเซธ อีกส่วนก็เพราะการวางท่าของกัปตันราเกซในช่วงหลังจากนั้น แม้ว่าข้าจะเล่าย้อนถึงที่มาที่ไปของความขุ่นเคืองระหว่างพวกข้ากับไอ้หนูนั่นไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้อารมณ์ของกัปตันแห่งลิเวียธานคลายลงนัก

“จะตัดแขน ทึ้งเนื้อหนังมันยังไงก็ช่าง แต่ลมหายใจสุดท้ายมันเป็นของข้าเท่านั้น ถ้าขืนเจ้าแย่งมันไป เลือดหัวเจ้าจะออกอย่างไม่ไว้ไมตรีก็อย่ามาโทษข้า…ข้าพูดจริงนะไอ้หนู” เขาสำทับปิดท้ายในเรื่องของการลงโทษเจ้าเซธ

ช่างยั่วโมโหข้าได้ดีเหลือเกิน…พูดจาเอาแต่ใจนักว่าให้ข้าละเว้นชีวิตมัน ทั้งที่มันจ้องจะเชือดคอข้าอยู่ตลอด แม้จะตอบเออออไปตามน้ำเพื่อรักษาบรรยากาศ แต่ใจจริงแล้วคำตอบของข้ายังคงเดิม ถ้าไอ้เด็กเวรนั่นมันเบี่ยงคมมีดมาทางข้าเมื่อไร กระสุนได้เจาะเข้าที่คอหอยมันแน่

แต่อย่างน้อยความโกรธเคืองครั้งนี้มันก็ทำให้ข้ารู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน พวกกัปตันเรือทุกคนก็คงเป็นเหมือนกันหมด ทิฐิสูง ชอบวางอำนาจ ทนไม่ได้นักกับการถูกข่มด้วยวาจาและกำลัง แล้วข้าก็ไม่ต่างกัน….ไม่ต่างกันเลย…คำพูดของ ‘นายท่าน’ ที่ข้าเคยใส่ใจทุก ๆ คำ ตอนนี้ข้าสามารถปล่อยให้มันผ่านหูไปได้เหมือนลมที่พัดผ่านชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ขัดใจข้าเท่านั้น

“ข้าจะลองพยายามดูแล้วกัน แต่ไง ๆ คนเราก็ต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อนนี่นะ” ข้ารับปากกับเขา เรื่องที่จะไม่ลงมือปลิดชีวิตของเซธแม้ว่ามันจะพุ่งเข้ามาฆ่าข้าก็ตาม และแน่นอน…ข้าโกหก ราเกซเองก็คงรับคำแค่พอให้เรื่องสงบลงเท่านั้น

“….เพิ่งรู้ว่าท่านก็ชอบงานแบบนี้…มีเหล้า มีเกม มีเพลงให้เต้น…สนุกดีเหมือนกัน” ข้าเปรยขึ้นมา ตั้งใจจะชวนคุยให้บรรยากาศระหว่างกันกลับมาผ่อนคลายลงดังเดิม

“เห็นลูกเรือได้ครื้นเครงกันข้าก็ดีใจ” พูดเช่นนั้นแต่เขากลับถอนหายใจคล้ายมีความเหน็ดเหนื่อยซ้อนทับอยู่ “ยังมีแรงเที่ยวก็รีบทำซะเถอะเจ้าน่ะ แก่กว่านี้สังขารจะไม่อำนวย”

“เหมือนท่านน่ะรึ” ข้าอดจะหยอกกลับไปไม่ได้ “…แวะมาเที่ยวที่ฟินเชอรีบ้างสิ บ้านนอกไปนิดแต่ก็มีอะไรสนุก ๆ เยอะนะ”

พอความโกรธเคืองด้วยทิฐิในฐานะกัปตันซาลง ข้ากลับมาคิดถึงเขาอีกครั้ง เหมือนทุก ๆ ครั้ง…ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องงาน อีกครึ่งหนึ่งเป็นความพอใจของข้าเอง ข้าต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลิเวียธานให้มากขึ้น และในอีกทาง ถ้าเพียงสามารถพาราเกซกลับไปที่นั่นได้…ที่ ๆ พวกเราเคยไปเยือนด้วยกัน บางทีข้าคงมีเวลาได้เฝ้าดูตอนต่อของความฝันอีกสักหน่อย ความทรงจำที่สวยงามเหมือนกับความฝัน…ความตื่นเต้นดีใจขณะที่พวกเราลักลอบงมหอยมุกจากเทวสถานของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลขึ้นมาได้เช่นครั้งนั้น

ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าลึก ๆ แล้วตัวข้าต้องการอะไรกันแน่ แม้ว่าราเกซจะจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าได้กลับไปที่นั่นด้วยกัน บางทีมันอาจจะกลายเป็นฉากจบที่ดีก็ได้…ฉากจบสุดท้ายระหว่างเด็กน้อยคนนั้นกับเจ้านายของมัน

แล้วสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากนั้นจะได้มีเพียง ฉากโศกนาฏกรรมในสงคราม เท่านั้น

“ข้าก็แวะไปออกบ่อย แค่ไม่ได้โผล่ไปทักทายเจ้าเท่านั้น…” ราเกซเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มที่จู่ ๆ ก็ดูแปลกไปจากเดิม ดวงตาสีทับทิมมีแววสุขใจเล็ก ๆ ยามที่ได้นึกย้อนกลับไปถึงการเดินทางในอดีต “จำได้…สมัยก่อนเทศกาลเก็บหอยมุกที่นั่นสนุกดี”

พอรู้ตัวอีกทีข้าก็พบว่าตัวเองชะงักคำพูดไป ไม่แน่ใจนักว่านานเท่าไร เมื่อได้สติจึงรีบเปล่งเสียงพูดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้เอะใจ

“อ๋อ…เทศกาลนั่น…” ข้าพยายามแล้วที่จะวางท่าทีนิ่งเฉย แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้จากปากของอีกฝ่าย ในอกมันเหมือนมีความสุขเป็นคลื่นน้ำเอ่อล้นขึ้นมาช้า ๆ “…ท่านชอบไข่มุกหรือ ไม่เคยเห็นทางเซนติเนลบอกเลย ไม่งั้นข้าจะได้คัดที่สวยๆส่งไปให้”

“ก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษหรอก แค่จำได้ว่า…” ราเกซยกปลายท่อสูบของบารากุขึ้นแตะริมฝีปาก “มีความทรงจำดี ๆ อยู่…ข้ารู้จักเด็กคนหนึ่งที่เห็นไข่มุกที่นั่นแล้วทำตาโตอย่างกับเห็นโคตรเพชรแหน่ะ”

เขาหัวเราะ ดูคล้ายอิ่มใจ ดูคล้ายกำลังมีความสุขเมื่อเอ่ยพูดเรื่องนี้ออกมา “สาบานได้ข้าไม่มีวันลืมดวงตาคู่นั้นได้เลยจริง ๆ”

ความรู้สึกชาเกาะกินตัวข้าขึ้นมาจากปลายนิ้ว

ปกติแล้วข้าพยายามไม่คิดถึงอดีต…ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ทุกครั้ง…ทุกครั้ง…ได้แต่ละทิ้งมันไว้เบื้องหลัง เพราะอดีตที่มีแต่ความโศกเศร้าเจ็บปวดนั้นมันทำให้ข้าอ่อนแอ

ทว่าอดีตที่เต็มไปด้วยความสุข…กลับสามารถทำให้ข้าอ่อนแอได้ยิ่งกว่า

“…แค่เด็กธรรมดาคนเดียว….ท่านยังจำได้หรือ มันคงดีใจนะ.” ข้าสูบยาเข้าปอดอึกใหญ่ ทั้งที่ไม่ชอบมันเลย แต่หากไม่ทำ ข้าคงไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเปล่งเสียงออกมา “…มันคงดีใจมาก หากรู้ว่าท่านยังจำมันได้…ข้าเชื่อแบบนั้น”

“ถ้าจริงอย่างเจ้าว่า…ข้าคงหมดห่วงไปได้เสียที” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนท่ามกลางควันจาง ๆ ที่ปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะเดินห่างออกไปทางกลุ่มคนที่จอแจกันอยู่บริเวณเวทีหลังจากที่มีเสียงประกาศเชิญกัปตันของลิเวียธานขึ้นไป

ข้านั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ฤทธิ์ยาค่อย ๆ เจือจางลงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับตัวตนครึ่งหนึ่งที่ทำท่าจะพังทลายลง ในวินาทีที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปอย่างเช่นที่ข้าคิด ทุกอย่างดูคล้ายกำลังหมุนคว้างและพลิกจากหน้ามือไปหลังมือ

นานมาแล้วที่ข้าพยายามลืมเลือนแผ่นหลังนั้นที่ข้าเคยใฝ่ฝันจะไล่ตาม พยายามหลอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ตัวตนของเขาที่ข้าเคยรู้จัก…คงไม่มีหลงเหลืออยู่อีก แค่เด็กคนเดียวกับช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ต่างจากเศษฝุ่นซึ่งลอยผ่านมาและผ่านไปนั้นจะมีคุณค่าอะไรให้เขาต้องจดจำ

แต่ความเป็นจริงได้ตอกหน้าข้ากลับมาตรง ๆ ว่าใช่ว่าเขาจดจำมันไม่ได้…กลับเป็นข้าเองต่างหากที่แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว แปรเปลี่ยนไปเสียจนหวาดกลัวเหลือเกินที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยคำถามเรียบง่าย ว่า ‘ยังจำข้าได้หรือเปล่า นายท่าน…’

เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ข้ามองเห็นเขา… ‘นายท่าน’ คนที่ข้าคุ้นเคยกำลังเดินไปทางห้องน้ำเพราะโดนพวกลูกเรือแกล้งด้วยยาบางอย่างจนต้องเข้าไปล้างตัว ข้าตรงเข้าไป ช่วยประคองเขา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทว่าเมื่อพวกเราหลบเร้นเข้าไปยังที่ลับตาผู้คนแล้ว ข้ากลับคว้าตัวเขาไว้แล้วบอกเล่าความรู้สึกออกไปด้วยรสจูบและการสัมผัสร่างกาย ความรู้สึกที่เอ่ยออกไปเป็นคำพูดไม่ได้มันทำให้รู้สึกราวกับหัวใจจะระเบิดออก เมื่อเขาพยายามผละออก ข้าดึงเขาไว้ ข้ารู้ว่าด้วยมือนี้ ข้าอาจจะคว้าเขาไว้ได้

ในยามนั้นข้าไม่ใช่ทั้งกัปตันแห่งบลูไวเปอร์ หรือแม้แต่เด็กคนนั้นที่เคยวิ่งไล่ตามเขาในอดีต ตัวข้าได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วนั้น มันยากนักที่จะจับใจความและอธิบายออกมาได้ บางทีข้าอาจจะเป็นเพียงสิ่งนั้น เพียงผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาด้วยความโลภและไม่รู้จักวิธีอื่นที่จะไขว่คว้าสิ่งสำคัญเอาไว้ได้ นอกจากดึงกระชากมาด้วยกำลัง

มือเล็ก ๆ ของข้าเคยทำเขาหลุดมือไปเมื่อครั้งอดีต แต่ตอนนี้กลับกัน…ข้าเติบโตขึ้นแล้ว มือทั้งสองข้างนั้นดูคล้ายถูกฉาบด้วยสีดำที่มืดมิดกว่าราตรีกาล สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบไคลของความโลภและความเกลียดชังที่มีต่อการสูญเสีย แต่ข้าก็ยังเลือกที่จะโอบรั้งเขาไว้

ด้วยสองมือนี้…ต่อให้เป็นดวงอาทิตย์หรือท้องทะเลของเทพเจ้าซีอาร์หรือสิ่งใด ๆ ในโลก ข้าก็สามารถแย่งชิงมาได้ ‘การเติบโต’ สอนข้าไว้เช่นนั้น

.

.

.

This entry was posted in EXPIV. Bookmark the permalink.

Leave a comment